สวัสดีเพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาอ่านกระทู้ของเรา ก่อนอื่นเลยเราต้องขอบอกก่อนว่านี่คือการตั้งกระทู้ครั้งแรกของเรา เรายินดีน้อมรับคำติชม และหากมีข้อผิดพลาดประการใดเราต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วย
เนื่องจากอีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ปีใหม่แล้วซึ่งตามธรรมเนียมคนส่วนมากก็มักจะถือเอาโอกาสวันขึ้นปีใหม่นี้ เป็นวันเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆหรือตั้งเป้าหมายให้กับตนเอง ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายเหล่านั้นคงไม่พ้นเป้าหมายที่ว่า“ปีนี้ฉันจะผอม”เราเลยตั้งใจตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อจะเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆที่คิดกำลังจะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือเพื่อนๆที่กำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก โดยเนื้อหาจะเป็นเรื่องราวจากประสบการณ์ของเราเองซึ่งอาจจะเป็นแรงบันดาลใจหรือกำลังใจให้กับเพื่อนๆได้บ้าง
บทนำแนะนำตัวเอง
ก่อนอื่นเราขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนี่คือเรา

จากรูปเพื่อนๆ คงยังไม่แน่ใจว่าเราคือคนไหน เราคือคนนี้

เด็กที่แรกเกิดมาด้วยน้ำหนักตัว4.1กิโลกรัม เพื่อนๆอ่านไม่ผิดแน่และเราก็ไม่ได้พิมพ์ผิดแต่อย่างใด เราเกิดมาพร้อมกับน้ำหนัก “สี่กิโลกรัม หนึ่งขีด” ซึ่งตอนนั้นแม่เล่าว่าขณะที่อุ้มท้องเราว่า ทุกคนที่เห็นแม่มักจะถามกับแม่ว่า “ลูกแฝดหรอ” บางทีตอนแรกเราอาจจะเป็นลูกแฝดก็ได้ แล้วเรากินแฝดเราอีกคนเข้าไป ฮ่าๆ
เพื่อนๆอาจจะกำลังคิดว่า ก็ไม่แปลกที่เราจะโตมาเป็นเด็กอ้วนแต่ผิดคลาด!!! เพราะว่าเรากลับโตมาแล้วเป็นเด็กผอมหัวโต ดังรูปนี้

เด็กน้อยกระโปรงแดงนั่นคือเราเอง ตอนนั้นน่าจะสักประมาณ 2-3 ขวบ

แต่แล้วคดีก็พลิกอีก!!!เมื่อญาติๆได้มาเห็นเราว่าผอมดูไม่แข็งแรง จึงได้มีบัญชาจากสวรรค์สั่งให้แม่ของเราขุนเราให้อ้วนพลี เป็นหมูที่แข็งแรง เพราะญาติๆของเรามีความเชื่อว่าเด็กที่อ้วนท้วมสมบูรณ์มักจะเป็นเด็กแข็งแรง ซึ่งแม่ก็ขุนเราเต็มที่ แล้วมื้ออาหารของเราก็ไม่มีอีกต่อไปคือ อยากกินเมื่อไหร่ก็กิน ฮ่าๆ และแล้วผลลัพที่ได้ ก็ตามรูปเลย

เราลืมบอกไปว่าในเราเป็นน้องเล็กสุดของบ้าน (เล็กไหมล่ะ!!!)

(ภาพนี้เราน่าจะอยู่สักประมาณ ป.1-ป.2)

(ภาพนี้เราน่าจะอยู่สักประมาณ ป.3)

(เสื้อ หรือ ผ้าคลุมตู้เย็น ฮ่าๆ ตัวใหญ่ กว่าแม่อีก)

(ภาพนี้เราน่าจะอยู่สักประมาณ ป.4-ป.5)
เมื่อเพื่อนๆได้เห็นการTransformerของเราแล้วเราก็ไปเข้าเรื่องกัน
บทที่1ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งแรก
เรื่องมีอยู่ว่าพอเริ่มเข้าม.1จำได้ว่าตอนนั้นไปซื้อชุดนักเรียนใหม่เราใส่กระโปรงเอว36นิ้ว ซึ่งตอนนั้นทางร้านบอกกับแม่เราว่าเป็นไซส์ใหญ่ที่สุดของร้าน ถ้าปีหน้าอ้วนกว่านี้ทางร้านก็ไม่มีไซส์แล้วสำหรับกระโปรงนักเรียนม.ต้น แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้สึกอะไร ยังเดินหน้ากินต่อไป จนเรามาถึงจุดนี้

(ภาพนี้เราน่าจะอยู่สักประมาณ ม.1-ม.2)
พอขึ้นม.3เริ่มจะเป็นวัยรุ่นเต็มตัวเริ่มอยากดูดี บวกกับเริ่มอายเวลาต้องไปซื้อกระโปรงใหม่ทุกปี เราเลยเริ่มต้นลดน้ำหนักซึ่งตอนนั้นก็ใช้วิธีทั่วๆไป ตามที่เคยรู้เคยได้ยินมาคือ งดข้าวเย็น กินน้อยๆ หรือทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายน้อยที่สุด(ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง)เราใช้เวลาประมาณ 1ปีกว่าๆ ไม่แน่ใจว่ากว่ามากไหมจำไม่ค่อยได้ จนได้เป็นแบบนี้

(ภาพนี้เราน่าจะหนักประมาณ 65 กิโลกรัม)
ถ้าดูจากภาพ เราดูผอมลงมาเยอะมากแต่เราเป็นคนโครงร่างใหญ่ อย่างไงก็ยังดูเป็นคนตัวใหญ่ยังดูอวบๆอยู่ แล้วที่สำคัญคือหัวเล็กมาก ยิ่งทำให้เราดูตัวใหญ่ไปอิก ฮ่าๆ หลังจากนั้นเราก็ยังคงกินน้อยแต่เริ่มกลับมากินสามมื้อ แต่มื้อเย็นจะกินก่อนหกโมงเย็น ก็มีช่วงที่อ้วนขึ้นบ้างแต่โดยรวมจะพยายามรักษาน้ำหนักไม่ให้เกิน70กิโลกรัม
บทที่2การเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการลดน้ำหนักครั้งที่สอง
แต่พอเราเข้าสู่มหาวิทยาลัย เราต้องจากบ้านที่ต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในกรุงเทพมาใช้ชีวิตเด็กหออย่างเต็มตัว หากเพื่อนๆที่เคยอยู่หอพัก คงเข้าใจชีวิตเด็กหอดีว่าEnjoy Eatingขนาดไหน แล้วยิ่งหอพักเรารายล้อมไปด้วยร้านอาหารและเซเว่น ตามสโลแกนเลยค่ะ “หิว เมื่อไหร่ ก็แวะมา” แล้วเราก็ไม่เคยทำให้เซเว่นผิดหวัง ดึกดื่นแค่ไหนเราก็ไป มันเลยส่งผลให้เราเป็นอย่างนี้

เราลืมบอกไปว่าเราอยู่หอยูเซนเตอร์ซอยจุฬา42 ถ้าคนที่เคยมาแถวนั้นคงจะนึกภาพออกว่า แถวนั้นสภาพอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ขนาดไหนทั้งใต้หอ ตลาดสามย่าน และตลาดสวนหลวง มันก็ไม่แปลกที่เราจะกลับมาที่จุดเดิมแบบนี้

(ภาพนี้ประมาณตอนอยู่ปี 3)
ช่วงนั้นเพื่อนก็ทักนะว่าไปทำอะไรมาตัวอย่างกับหมียักษ์ ตอนแรกก็ยังไม่เชื่อแต่เมื่อเห็นภาพที่เพื่อนถ่ายให้ก็ช็อคเหมือนกัน เลยเริ่มลดน้ำหนักครั้งที่สอง วิธีการที่ใช้ก็เหมือนเดิมกินน้อยๆงดข้าวเย็น แต่มันต่างกันที่ผลลัพธ์คือ มันไม่ลดลงเหมือนกับครั้งแรกที่เราทำ เราเลยเริ่มไปออกกำลังกายโดยไปใช้บริการฟิตเนสของมหาลัย เริ่มจากการเล่นEllipticalวันละ30นาที อาทิตย์ละประมาณ3วัน ทำต่อเนื่องสักประมาณ5-6เดือน จนน้ำหนักอยู่ประมาณ68-70กิโลกรัม จาก75-78กิโลกรัม(เคยพีคสุดถึง83กิโลกรัม) แล้วก็พยายามคงสภาพไว้ไม่ให้น้ำหนักเกิน72กิโลกรัมจนถึงรับปริญญา ตอนนั้นหุ่นประมาณนี้

(ดูชัดๆว่าตัวใหญ่แค่ไหน ลืมบอกไปว่าเราสูง172ซม.)
จุดเริ่มต้นภาระกิจ พิชิตใจ(ตัวเอง)
พอเราเรียนจบเราก็ได้มาทำงานที่ สปป.ลาว (เราจบวิศวะโยธา) เป็นโครงการก่อสร้างเขื่อน ซึ่งตอนแรกเราก็ตั้งใจไว้ว่ามาอยู่ลาว และยังเป็นไซท์ก่อสร้างในป่าในเขาอีก ด้วยเรื่องของอาหารการกินคงหายากเราคงต้องผอมแน่ๆแต่แล้วก็ผิดคลาดไปดูภาพกันเลย

ภาพนี้อาจจะยังไม่ชัด ไปดูภาพชัดๆเลยดีกว่า


จากภาพข้างบนเราใช้เวลาแค่ปีเดียวในการกลายร่างเป็นBaymaxสุดยอดไหมล่ะ แล้วก็ไม่เคยจะรู้ตัวเลยว่าตัวเองอ้วนมากแค่ไหนจนได้มาเห็นภาพตัวเอง ฮ่าๆ ตอนนั้นพอเห็นภาพก็รู้ตัวแล้วแหละว่าเราควรจะลดน้ำหนัก แต่ก็ขอบอกตามตรงว่าท้อใจอยู่เหมือนกันไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน ในภาพน่าจะเป็นช่วงต้นเดือนมกราคมปี2014 เพิ่งผ่านปีใหม่มาไม่กี่สัปดาห์เราก็เลยตั้งเป้าหมายเลยว่า“ปีนี้ฉันจะผอม”แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์พลิกผันอีกรอบก็คือ ช่วงประมาณเดือนมีนาคมในปีเดียวกันนั้น เราป่วยเป็นโรคจอประสาทตาหลุดลอก ต้องเข้ารับการผ่าตัดตาถึง 2 ครั้ง ใช้เวลารักษาตัวเองทั้งหมดเป็นเวลาประมาณ2ปี ซึ่งตอนนั้นเรื่องเป้าหมายน่ะหรอไม่มีอยู่ในหัวสมองอีกเลย เพราะเรากำลังเครียดกับอาการป่วยของตัวเอง ตอนนั้นหมอบอกกับเราให้ทำใจพราะการมองเห็นของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปไม่รู้ว่าจะกลับมาเห็นได้มากน้อยแค่ไหน จนกระทั่งมาถึงช่วงเดือนกันยายนปี2015ที่อาการป่วยหายดีหมอก็เริ่มนัดมาตรวจห่างขึ้น ตอนนั้นเรารู้สึกดีใจมากที่ผ่านเรื่องราวร้ายๆมาได้และจากการผ่านเรื่องราวร้ายๆมาทำให้เราคิดได้ว่าเรายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราอยากทำแล้วไม่ได้ทำหรือยังมีเรื่องที่ยังทำค้างคาอยู่ เราก็เลยกลับไปคิดถึงเป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ“ปีนี้ฉันจะผอม”เหตุผลที่เราเลือกเป้าหมายนี้เพราะมันเป็นเป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้หลายครั้งแต่ก็ล้มเลิกก่อนบ้าง ล้มเหลวบ้าง คือยังไปไม่สุดทาง ไปได้ไกลสุดก็คือ“อวบๆ อวบแล้ว อวบอีก”พูดง่ายๆคือมันเป็นสิ่งที่เรายังไม่เคยทำได้สำเร็จสักทีก็เลยอยากจะChallengeตัวเองดูสักครั้งก็เลยเกิดภาระกิจพิชิตใจ(ตัวเอง)ขึ้นมา
บทสรุปของภาระกิจ
สภาพเราก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดตา ครั้งที่2ดีกว่าตอนเป็น Baymax หน่อยนึง


ช่วงที่รักษาตัวจากการผ่าตัดตาครั้งที่2ก็มีซูบๆผอมลงบ้างในช่วงสัปดาห์แรกแต่พอแผลผ่าตัดเริ่มหายดีก็กลับมาอ้วนอีก และช่วงนั้นเราได้แต่นั่งกินนอนกิน เนื่องจากหมอสั่งห้ามทำอะไรที่กระทบกระเทือนแผลผ่าตัดเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน(ช่วงนั้นไม่ได้ถ่ายรูปเลยไม่มีรูปให้เพื่อนๆดู แต่ก็ไม่ได้ต่างจากตอนก่อนผ่าตัดเท่าไหร่)
กว่าเราจะมาคิดได้ก็เดือนกันยายนแล้วซึ่งเหลือเวลาอีกแค่3เดือนก็จะหมดปีแล้ว เราก็เลยรีบลงมือทำโดยไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ อย่างแรกเลยตอนนั้นที่เราคิดได้คือเข้าGoogleเพื่อSearchหาวิธีการลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง เพราะจากสองครั้งแรกที่เราได้ลองทำมาผลลัพธ์มันไม่ใช่อย่างที่เราต้องการ และค่อนข้างทรมารจิตใจกับการอดอาหารหรือกินน้อยๆ และถึงตอนนั้นตัวเลขน้ำหนักของเราลดลงจริงแต่รูปร่างของเราก็ยังไม่ใช่อย่างที่เราต้องการ ดังนั้นเราเลยShift+Deleteทุกอย่างที่เคยรู้ที่เคยได้ยินมาออกจากหัวสมองแล้วเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ซึ่งจากการSearch Googleทำให้เราได้เจอกระทู้รีวิว บทความ คลิปวิดีโอสอนการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีมากมาย พอเราศึกษาไปได้สักพักเริ่มพอมีความรู้ที่ถูกต้องติดหัวบ้างแล้ว เราก็ลงมือทำโดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ซึ่งเราให้ความสำคัญทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ พอปรับเปลี่ยนการกินได้สักพัก เราก็เริ่มไปออกกำลังกาย เริ่มจากไปเดินลู่วิ่งก่อน ค่อยฝึกวิ่งวันละเล็กวันละน้อยจาก10นาทีมาเป็น20นาที จนทุกวันนี้เราสามารถวิ่งได้วันละ45นาที อย่างสบายๆและสามารถวิ่งเป็นระยะทาง10กิโลเมตรโดยใช้เวลา1.20ชั่วโมง ซึ่งสำหรับบางคนตัวเลขเหล่านี้อาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาแต่สำหรับเราคนที่ไม่เคยสามารถวิ่งต่อเนื่องได้ถึง10นาทีมันถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเรา และในขณะที่เราลงมือทำนั้นเราก็ศึกษาหาความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติมตลอดทั้งทางด้านโภชนาการและการออกกำลังกาย และแล้วเวลา3เดือนก็ผ่านไป หลังจากความพยายามอย่างหนัก ความมีวินัย ความสม่ำเสมอก็ทำให้เรากลายเป็นแบบนี้

นับตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้เราก็ศึกษาหาความรู้แล้วลงมือทำมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเรา ทุกวันนี้เราเป็นแบบนี้

ถึงตอนนี้สำหรับเราก็ถือว่าพอใจและภูมิใจมากที่มาถึงจุดนี้ได้ เราสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำได้สำเร็จ และสิ่งที่เราได้กลับมาคือสุขภาพกายที่แข็งแรง สุขภาพจิตที่ดี ส่วนเรื่องของรูปร่างนั้นมันคือผลพลอยได้ เพราะอย่างไงแล้วสำหรับเรา “การไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐ”
ขอขอบคุณเพื่อนๆ ที่อ่านจนจบ สุดท้ายนี้เราก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่อยากจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ขอให้ทุกคนสำเร็จนะคะ

ภารกิจ พิชิตใจ(ตัวเอง) สำหรับคนที่ต้องแรงบันดาลใจและกำลังใจ ในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เนื่องจากอีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ปีใหม่แล้วซึ่งตามธรรมเนียมคนส่วนมากก็มักจะถือเอาโอกาสวันขึ้นปีใหม่นี้ เป็นวันเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆหรือตั้งเป้าหมายให้กับตนเอง ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายเหล่านั้นคงไม่พ้นเป้าหมายที่ว่า“ปีนี้ฉันจะผอม”เราเลยตั้งใจตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อจะเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆที่คิดกำลังจะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือเพื่อนๆที่กำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก โดยเนื้อหาจะเป็นเรื่องราวจากประสบการณ์ของเราเองซึ่งอาจจะเป็นแรงบันดาลใจหรือกำลังใจให้กับเพื่อนๆได้บ้าง
บทนำแนะนำตัวเอง
ก่อนอื่นเราขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนี่คือเรา
จากรูปเพื่อนๆ คงยังไม่แน่ใจว่าเราคือคนไหน เราคือคนนี้
เด็กที่แรกเกิดมาด้วยน้ำหนักตัว4.1กิโลกรัม เพื่อนๆอ่านไม่ผิดแน่และเราก็ไม่ได้พิมพ์ผิดแต่อย่างใด เราเกิดมาพร้อมกับน้ำหนัก “สี่กิโลกรัม หนึ่งขีด” ซึ่งตอนนั้นแม่เล่าว่าขณะที่อุ้มท้องเราว่า ทุกคนที่เห็นแม่มักจะถามกับแม่ว่า “ลูกแฝดหรอ” บางทีตอนแรกเราอาจจะเป็นลูกแฝดก็ได้ แล้วเรากินแฝดเราอีกคนเข้าไป ฮ่าๆ
เพื่อนๆอาจจะกำลังคิดว่า ก็ไม่แปลกที่เราจะโตมาเป็นเด็กอ้วนแต่ผิดคลาด!!! เพราะว่าเรากลับโตมาแล้วเป็นเด็กผอมหัวโต ดังรูปนี้
เด็กน้อยกระโปรงแดงนั่นคือเราเอง ตอนนั้นน่าจะสักประมาณ 2-3 ขวบ
แต่แล้วคดีก็พลิกอีก!!!เมื่อญาติๆได้มาเห็นเราว่าผอมดูไม่แข็งแรง จึงได้มีบัญชาจากสวรรค์สั่งให้แม่ของเราขุนเราให้อ้วนพลี เป็นหมูที่แข็งแรง เพราะญาติๆของเรามีความเชื่อว่าเด็กที่อ้วนท้วมสมบูรณ์มักจะเป็นเด็กแข็งแรง ซึ่งแม่ก็ขุนเราเต็มที่ แล้วมื้ออาหารของเราก็ไม่มีอีกต่อไปคือ อยากกินเมื่อไหร่ก็กิน ฮ่าๆ และแล้วผลลัพที่ได้ ก็ตามรูปเลย
เราลืมบอกไปว่าในเราเป็นน้องเล็กสุดของบ้าน (เล็กไหมล่ะ!!!)
(ภาพนี้เราน่าจะอยู่สักประมาณ ป.1-ป.2)
(ภาพนี้เราน่าจะอยู่สักประมาณ ป.3)
(เสื้อ หรือ ผ้าคลุมตู้เย็น ฮ่าๆ ตัวใหญ่ กว่าแม่อีก)
(ภาพนี้เราน่าจะอยู่สักประมาณ ป.4-ป.5)
เมื่อเพื่อนๆได้เห็นการTransformerของเราแล้วเราก็ไปเข้าเรื่องกัน
บทที่1ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งแรก
เรื่องมีอยู่ว่าพอเริ่มเข้าม.1จำได้ว่าตอนนั้นไปซื้อชุดนักเรียนใหม่เราใส่กระโปรงเอว36นิ้ว ซึ่งตอนนั้นทางร้านบอกกับแม่เราว่าเป็นไซส์ใหญ่ที่สุดของร้าน ถ้าปีหน้าอ้วนกว่านี้ทางร้านก็ไม่มีไซส์แล้วสำหรับกระโปรงนักเรียนม.ต้น แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้สึกอะไร ยังเดินหน้ากินต่อไป จนเรามาถึงจุดนี้
(ภาพนี้เราน่าจะอยู่สักประมาณ ม.1-ม.2)
พอขึ้นม.3เริ่มจะเป็นวัยรุ่นเต็มตัวเริ่มอยากดูดี บวกกับเริ่มอายเวลาต้องไปซื้อกระโปรงใหม่ทุกปี เราเลยเริ่มต้นลดน้ำหนักซึ่งตอนนั้นก็ใช้วิธีทั่วๆไป ตามที่เคยรู้เคยได้ยินมาคือ งดข้าวเย็น กินน้อยๆ หรือทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายน้อยที่สุด(ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง)เราใช้เวลาประมาณ 1ปีกว่าๆ ไม่แน่ใจว่ากว่ามากไหมจำไม่ค่อยได้ จนได้เป็นแบบนี้
(ภาพนี้เราน่าจะหนักประมาณ 65 กิโลกรัม)
ถ้าดูจากภาพ เราดูผอมลงมาเยอะมากแต่เราเป็นคนโครงร่างใหญ่ อย่างไงก็ยังดูเป็นคนตัวใหญ่ยังดูอวบๆอยู่ แล้วที่สำคัญคือหัวเล็กมาก ยิ่งทำให้เราดูตัวใหญ่ไปอิก ฮ่าๆ หลังจากนั้นเราก็ยังคงกินน้อยแต่เริ่มกลับมากินสามมื้อ แต่มื้อเย็นจะกินก่อนหกโมงเย็น ก็มีช่วงที่อ้วนขึ้นบ้างแต่โดยรวมจะพยายามรักษาน้ำหนักไม่ให้เกิน70กิโลกรัม
บทที่2การเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการลดน้ำหนักครั้งที่สอง
แต่พอเราเข้าสู่มหาวิทยาลัย เราต้องจากบ้านที่ต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในกรุงเทพมาใช้ชีวิตเด็กหออย่างเต็มตัว หากเพื่อนๆที่เคยอยู่หอพัก คงเข้าใจชีวิตเด็กหอดีว่าEnjoy Eatingขนาดไหน แล้วยิ่งหอพักเรารายล้อมไปด้วยร้านอาหารและเซเว่น ตามสโลแกนเลยค่ะ “หิว เมื่อไหร่ ก็แวะมา” แล้วเราก็ไม่เคยทำให้เซเว่นผิดหวัง ดึกดื่นแค่ไหนเราก็ไป มันเลยส่งผลให้เราเป็นอย่างนี้
เราลืมบอกไปว่าเราอยู่หอยูเซนเตอร์ซอยจุฬา42 ถ้าคนที่เคยมาแถวนั้นคงจะนึกภาพออกว่า แถวนั้นสภาพอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ขนาดไหนทั้งใต้หอ ตลาดสามย่าน และตลาดสวนหลวง มันก็ไม่แปลกที่เราจะกลับมาที่จุดเดิมแบบนี้
(ภาพนี้ประมาณตอนอยู่ปี 3)
ช่วงนั้นเพื่อนก็ทักนะว่าไปทำอะไรมาตัวอย่างกับหมียักษ์ ตอนแรกก็ยังไม่เชื่อแต่เมื่อเห็นภาพที่เพื่อนถ่ายให้ก็ช็อคเหมือนกัน เลยเริ่มลดน้ำหนักครั้งที่สอง วิธีการที่ใช้ก็เหมือนเดิมกินน้อยๆงดข้าวเย็น แต่มันต่างกันที่ผลลัพธ์คือ มันไม่ลดลงเหมือนกับครั้งแรกที่เราทำ เราเลยเริ่มไปออกกำลังกายโดยไปใช้บริการฟิตเนสของมหาลัย เริ่มจากการเล่นEllipticalวันละ30นาที อาทิตย์ละประมาณ3วัน ทำต่อเนื่องสักประมาณ5-6เดือน จนน้ำหนักอยู่ประมาณ68-70กิโลกรัม จาก75-78กิโลกรัม(เคยพีคสุดถึง83กิโลกรัม) แล้วก็พยายามคงสภาพไว้ไม่ให้น้ำหนักเกิน72กิโลกรัมจนถึงรับปริญญา ตอนนั้นหุ่นประมาณนี้
(ดูชัดๆว่าตัวใหญ่แค่ไหน ลืมบอกไปว่าเราสูง172ซม.)
จุดเริ่มต้นภาระกิจ พิชิตใจ(ตัวเอง)
พอเราเรียนจบเราก็ได้มาทำงานที่ สปป.ลาว (เราจบวิศวะโยธา) เป็นโครงการก่อสร้างเขื่อน ซึ่งตอนแรกเราก็ตั้งใจไว้ว่ามาอยู่ลาว และยังเป็นไซท์ก่อสร้างในป่าในเขาอีก ด้วยเรื่องของอาหารการกินคงหายากเราคงต้องผอมแน่ๆแต่แล้วก็ผิดคลาดไปดูภาพกันเลย
ภาพนี้อาจจะยังไม่ชัด ไปดูภาพชัดๆเลยดีกว่า
จากภาพข้างบนเราใช้เวลาแค่ปีเดียวในการกลายร่างเป็นBaymaxสุดยอดไหมล่ะ แล้วก็ไม่เคยจะรู้ตัวเลยว่าตัวเองอ้วนมากแค่ไหนจนได้มาเห็นภาพตัวเอง ฮ่าๆ ตอนนั้นพอเห็นภาพก็รู้ตัวแล้วแหละว่าเราควรจะลดน้ำหนัก แต่ก็ขอบอกตามตรงว่าท้อใจอยู่เหมือนกันไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน ในภาพน่าจะเป็นช่วงต้นเดือนมกราคมปี2014 เพิ่งผ่านปีใหม่มาไม่กี่สัปดาห์เราก็เลยตั้งเป้าหมายเลยว่า“ปีนี้ฉันจะผอม”แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์พลิกผันอีกรอบก็คือ ช่วงประมาณเดือนมีนาคมในปีเดียวกันนั้น เราป่วยเป็นโรคจอประสาทตาหลุดลอก ต้องเข้ารับการผ่าตัดตาถึง 2 ครั้ง ใช้เวลารักษาตัวเองทั้งหมดเป็นเวลาประมาณ2ปี ซึ่งตอนนั้นเรื่องเป้าหมายน่ะหรอไม่มีอยู่ในหัวสมองอีกเลย เพราะเรากำลังเครียดกับอาการป่วยของตัวเอง ตอนนั้นหมอบอกกับเราให้ทำใจพราะการมองเห็นของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปไม่รู้ว่าจะกลับมาเห็นได้มากน้อยแค่ไหน จนกระทั่งมาถึงช่วงเดือนกันยายนปี2015ที่อาการป่วยหายดีหมอก็เริ่มนัดมาตรวจห่างขึ้น ตอนนั้นเรารู้สึกดีใจมากที่ผ่านเรื่องราวร้ายๆมาได้และจากการผ่านเรื่องราวร้ายๆมาทำให้เราคิดได้ว่าเรายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราอยากทำแล้วไม่ได้ทำหรือยังมีเรื่องที่ยังทำค้างคาอยู่ เราก็เลยกลับไปคิดถึงเป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ“ปีนี้ฉันจะผอม”เหตุผลที่เราเลือกเป้าหมายนี้เพราะมันเป็นเป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้หลายครั้งแต่ก็ล้มเลิกก่อนบ้าง ล้มเหลวบ้าง คือยังไปไม่สุดทาง ไปได้ไกลสุดก็คือ“อวบๆ อวบแล้ว อวบอีก”พูดง่ายๆคือมันเป็นสิ่งที่เรายังไม่เคยทำได้สำเร็จสักทีก็เลยอยากจะChallengeตัวเองดูสักครั้งก็เลยเกิดภาระกิจพิชิตใจ(ตัวเอง)ขึ้นมา
บทสรุปของภาระกิจ
สภาพเราก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดตา ครั้งที่2ดีกว่าตอนเป็น Baymax หน่อยนึง
ช่วงที่รักษาตัวจากการผ่าตัดตาครั้งที่2ก็มีซูบๆผอมลงบ้างในช่วงสัปดาห์แรกแต่พอแผลผ่าตัดเริ่มหายดีก็กลับมาอ้วนอีก และช่วงนั้นเราได้แต่นั่งกินนอนกิน เนื่องจากหมอสั่งห้ามทำอะไรที่กระทบกระเทือนแผลผ่าตัดเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน(ช่วงนั้นไม่ได้ถ่ายรูปเลยไม่มีรูปให้เพื่อนๆดู แต่ก็ไม่ได้ต่างจากตอนก่อนผ่าตัดเท่าไหร่)
กว่าเราจะมาคิดได้ก็เดือนกันยายนแล้วซึ่งเหลือเวลาอีกแค่3เดือนก็จะหมดปีแล้ว เราก็เลยรีบลงมือทำโดยไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ อย่างแรกเลยตอนนั้นที่เราคิดได้คือเข้าGoogleเพื่อSearchหาวิธีการลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง เพราะจากสองครั้งแรกที่เราได้ลองทำมาผลลัพธ์มันไม่ใช่อย่างที่เราต้องการ และค่อนข้างทรมารจิตใจกับการอดอาหารหรือกินน้อยๆ และถึงตอนนั้นตัวเลขน้ำหนักของเราลดลงจริงแต่รูปร่างของเราก็ยังไม่ใช่อย่างที่เราต้องการ ดังนั้นเราเลยShift+Deleteทุกอย่างที่เคยรู้ที่เคยได้ยินมาออกจากหัวสมองแล้วเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ซึ่งจากการSearch Googleทำให้เราได้เจอกระทู้รีวิว บทความ คลิปวิดีโอสอนการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีมากมาย พอเราศึกษาไปได้สักพักเริ่มพอมีความรู้ที่ถูกต้องติดหัวบ้างแล้ว เราก็ลงมือทำโดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ซึ่งเราให้ความสำคัญทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ พอปรับเปลี่ยนการกินได้สักพัก เราก็เริ่มไปออกกำลังกาย เริ่มจากไปเดินลู่วิ่งก่อน ค่อยฝึกวิ่งวันละเล็กวันละน้อยจาก10นาทีมาเป็น20นาที จนทุกวันนี้เราสามารถวิ่งได้วันละ45นาที อย่างสบายๆและสามารถวิ่งเป็นระยะทาง10กิโลเมตรโดยใช้เวลา1.20ชั่วโมง ซึ่งสำหรับบางคนตัวเลขเหล่านี้อาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาแต่สำหรับเราคนที่ไม่เคยสามารถวิ่งต่อเนื่องได้ถึง10นาทีมันถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเรา และในขณะที่เราลงมือทำนั้นเราก็ศึกษาหาความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติมตลอดทั้งทางด้านโภชนาการและการออกกำลังกาย และแล้วเวลา3เดือนก็ผ่านไป หลังจากความพยายามอย่างหนัก ความมีวินัย ความสม่ำเสมอก็ทำให้เรากลายเป็นแบบนี้
นับตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้เราก็ศึกษาหาความรู้แล้วลงมือทำมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเรา ทุกวันนี้เราเป็นแบบนี้
ถึงตอนนี้สำหรับเราก็ถือว่าพอใจและภูมิใจมากที่มาถึงจุดนี้ได้ เราสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำได้สำเร็จ และสิ่งที่เราได้กลับมาคือสุขภาพกายที่แข็งแรง สุขภาพจิตที่ดี ส่วนเรื่องของรูปร่างนั้นมันคือผลพลอยได้ เพราะอย่างไงแล้วสำหรับเรา “การไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐ”
ขอขอบคุณเพื่อนๆ ที่อ่านจนจบ สุดท้ายนี้เราก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่อยากจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ขอให้ทุกคนสำเร็จนะคะ